แปด
ฉันยืนตัวแข็งทื่อขณะที่ดวงตาสีฟ้าคมกริบของเจมส์จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของฉัน ราวกับโลกรอบกายหยุดนิ่ง บรรยากาศในห้องตึงเครียดหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก ฉันไม่อาจละสายตาไปได้ แม้ว่าทุกสิ่งในชั่วขณะนี้—ความเย็นชาในแววตาของเขา ภาระหนักอึ้งจากอดีตที่กดทับอยู่บนอก—ทำให้ฉันอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น
ผมของเขาไม่ใช่สีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่างที่ฉันจำได้ในวัยเด็กอีกต่อไป ตอนนี้มันเป็นสีบลอนด์สว่างที่ถูกเสยไปด้านหลังอย่างประณีต เครื่องหน้าของเขาคมคายขึ้นตามกาลเวลา แนวสันกรามชัดเจนขึ้น โหนกแก้มเด่นชัดกว่าเดิม แต่เป็นดวงตาของเขานั่นเองที่ทำให้ฉันรู้สึกหนาวเยือกไปถึงสันหลัง ความอบอุ่นที่ฉันเคยชื่นชมได้เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยแววตาเย็นชาคมกริบที่ราวกับจะเปลื้องเปลือยฉันจนหมดสิ้น
เขาหล่อเหลาน่าทึ่งพอๆ กับที่น่าเกรงขาม เป็นชายผู้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับอำนาจและสวมมันไว้ราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง แต่ไม่มีเค้าของเด็กชายที่ฉันเคยแอบชื่นชมหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เคยเป็นรักแรกในวัยเด็กของฉัน ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันคนนี้คือคนแปลกหน้า
“เอลล่า มอนต์โรส” เจมส์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเชื่องช้าราวกับกำลังชั่งน้ำหนักชื่อของฉันบนลิ้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ฉันกะพริบตา พยายามเค้นเสียงออกมา “เจมส์... ฉัน...” ฉันหยุดพูดแล้วส่ายหัวราวกับจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่าน “คุณแลงคาสเตอร์” ฉันแก้คำพูด แก้มร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
รอยยิ้มหยันจางๆ ปรากฏที่มุมปากของเขา แต่กลับไม่ส่งไปถึงดวงตา “เรียกเจมส์ก็ได้” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก สำหรับคน... เคยรู้จักกัน”
ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาคือหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น—วันที่เซซิเลียน้องสาวของเขาจมน้ำเสียชีวิต ความทรงจำนั้นขู่ว่าจะผุดขึ้นมา แต่ฉันก็ผลักมันกลับลงไปและขังมันไว้ให้ลึกที่สุด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาจมอยู่กับอดีต
เสียงของเขาแทรกเข้ามาในภวังค์ความคิด “เชิญนั่ง” เขาพูดพร้อมกับผายมือไปยังเก้าอี้หนังเรียบหรูหน้าโต๊ะทำงาน
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ นิ้วมือของฉันขยับเล่นชายเสื้อคาร์ดิแกนไปมาขณะพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ห้องทำงานที่เพดานสูงและมีหน้าต่างบานใหญ่จากพื้นจรดเพดานซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้ทั้งเมือง ให้ความรู้สึกกว้างใหญ่และน่าเกรงขามเกินไป ฉันรู้สึกตัวเล็กนิดเดียว รู้สึกแปลกแยก และไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง
เจมส์เดินอ้อมโต๊ะไปนั่งลง ท่วงท่าของเขาสง่างามแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น ดวงตาของเขาไม่ละไปจากฉันเลย ราวกับกำลังศึกษาสิ่งมีชีวิตใต้กล้องจุลทรรศน์
“เอาล่ะ” เขาเริ่มต้น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “คุณมาที่นี่เรื่องพี่ชายของคุณสินะ”
ฉันพยักหน้า กลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกอยู่ในลำคอ “ค่ะ ธีโอไม่ได้ทำ” ฉันรีบพูด เสียงสั่นเทา “ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ เขาบอกฉันว่าเจ้านายกดดันให้เขาเซ็นเอกสารพวกนั้น เขาไม่มีวัน...”
เจมส์ยกมือขึ้นห้าม ตัดบทฉัน “คุณมอนต์โรส” เขาพูดด้วยน้ำเสียงห้วนกระชับ “นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิด พี่ชายของคุณยักยอกเงินจากบริษัทของผม หลักฐานมันมัดตัวแน่นหนา ปฏิเสธไม่ได้”
หัวใจของฉันหล่นวูบ “ไม่” ฉันกระซิบพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่จริง ธีโอไม่มีวัน...”
“พี่ชายของคุณเป็นคนเปิดบัญชีนอกประเทศด้วยตัวเอง” เจมส์พูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นทุกขณะ “เงินถูกโอนเข้าไปที่นั่นภายใต้ชื่อของเขา ทุกอย่างมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน”
ลมหายใจของฉันสะดุดขณะจ้องมองเขา ในหัวคิดวุ่นวายไปหมด “ไม่จริง” ฉันพูด เสียงดังขึ้นอย่างสิ้นหวัง “มันเป็นไปไม่ได้ ธีโอไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่ใช่ขโมย”
เจมส์โน้มตัวมาข้างหน้า วางข้อศอกลงบนโต๊ะทำงานขณะที่สายตาคมกริบของเขาตรึงฉันไว้กับที่ “เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริง” เขาพูด “น้องชายของเธอมีความผิด และถ้าเธอไม่มีเหตุผลดีๆ มาทำให้ฉันเชื่อได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ล่ะก็ เขาจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกอีกนานเลย”
หน้าอกฉันบีบรัด ปอดพยายามอย่างหนักที่จะสูดอากาศเข้าไป นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง ธีโอเป็นผู้บริสุทธิ์—ฉันรู้แก่ใจดี แต่ท่าทีที่เจมส์พูด...ราบเรียบและหนักแน่นเหลือเกิน ทำให้ท้องไส้ฉันปั่นป่วนไปด้วยความคลางแคลงใจ
ฉันจ้องหน้าเขา หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก “แต่เขาไม่รู้ว่าเซ็นอะไรลงไป! เขากำลังถูกจัดฉาก และฉันรู้ว่าคุณมีอำนาจพอที่จะช่วยเขาได้”
เจมส์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สีหน้าของเขาอ่านไม่ออก “แล้วทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”
“เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” ฉันพูด ความสิ้นหวังเริ่มคืบคลานเข้ามาในน้ำเสียง “เพราะคุณไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ทรมาน”
เขาหัวเราะอย่างขมขื่น เสียงนั้นเย็นเยียบและกลวงโบ๋ “เธอไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นคนแบบไหน เอลล่า” เขาพูด “ไม่ใช่...อีกต่อไปแล้ว”
ท้องฉันบิดเกร็งกับคำพูดของเขา แต่ฉันไม่ยอมถอย “ฉันอาจจะไม่รู้” ฉันพูดเสียงเบา “แต่ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนคุณเคยเป็นคนแบบไหน”
ดวงตาของเจมส์เข้มขึ้น มีประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออกวูบผ่านไปชั่วขณะ เขาไม่พูดอะไร สายตาจ้องลึกเข้ามาในตาฉันราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง
“น้องชายของเธอขโมยเงินจากฉัน” เขาพูด น้ำเสียงสงบนิ่งแต่คมกริบราวกับใบมีด “เขาไม่ได้แค่ฉกเงินไปเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่คือการยักยอกเงินอย่างเป็นระบบ หลายล้านนะเอลล่า เธอเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์บ้างไหม”
นิ้วของฉันกำสายกระเป๋าแน่นขึ้นจนข้อนิ้วขาวซีด “ธีโอไม่มีทาง...เขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ได้โปรดเชื่อฉันเถอะค่ะ”
เจมส์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง รอยยิ้มเยาะจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เขาบอกเธออย่างนั้นเหรอ”
“มันคือความจริงค่ะ” ฉันรีบพูด “อย่างที่บอก เจ้านายของเขากดดันให้เซ็นเอกสารที่เขาไม่เข้าใจดีพอ เขาคิดว่ามันเป็นแค่เอกสารงานประจำ”
“เอกสารงานประจำที่ไหนมันจะเปิดบัญชีนอกประเทศในชื่อของเขาได้ มันไม่ถ่ายเทเงินออกจากบริษัทของฉันด้วยเส้นทางที่ชัดเจนเสียจนเหมือนกับห่อของขวัญส่งให้ทางการหรอกนะ น้องชายของเธอไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เอลล่า เขาเป็นอาชญากร”
ฉันสะดุ้งกับคำว่า ‘อาชญากร’ “ได้โปรดเถอะค่ะ” ฉันอ้อนวอน เสียงสั่นเครือ “มันต้องมีทางอื่นสิคะ ฉันยอมทำทุกอย่าง”
ดวงตาของเจมส์เข้มขึ้น และชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองสำรวจฉันด้วยความเข้มข้นจนฉันรู้สึกอึดอัด ความเงียบนั้นทอดยาว หนักอึ้งและน่าหายใจไม่ออก จนกระทั่งในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้น
“ทุกอย่างเลยเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงแผ่วเบาเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ
ฉันพยักหน้า น้ำตาคลอหน่วย “ค่ะ” ฉันตอบ “ทุกอย่าง... แค่... ได้โปรดอย่าส่งธีโอเข้าคุกเลยนะคะ”
เจมส์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าของเขาอ่านไม่ออก
“แต่งงานกับฉัน”
เขาพูดขึ้นหลังจากที่เวลาผ่านไปราวกับชั่วนิรันดร์ และโลกของฉันก็ราวกับจะพลิกคว่ำลงตรงหน้า
